วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558

มาตรฐาน IEEE 802.3

มาตรฐาน IEEE 802.3

หลักการพื้นฐานและความเป็นมา
มาตรฐาน IEEE 802.3 ออกแบบมาสำหรับระบบเครือข่ายเฉพาะบริเวณแบบ CSMA/CD ต้นกำเนิดของมาตรฐานนี้มาจากระบบอะโลฮ่า (Aloha) ซึ่งได้รับการเพิ่มขีดความสามารถโดยบริษัท Xerox เริ่มมาจากบริษัท Xerox ได้สร้างระบบเครือข่ายเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ 100 เครื่องในบริษัท โดยมีความยาวของเครือข่ายได้ถึง 1 กิโลเมตร และมีอัตราในการส่งข้อมูลถึง 2.94 Mbps ระบบนี้เรียกว่า อีเทอร์เน็ต (Ethernet)
การนำระบบอีเธอร์เน็ตมาใช้งานนั้นประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก บริษัท Xerox , DEC (Digital Equipment Corporation, Ltd.) และ Intel Corp ได้ร่วมกำหนดมาตรฐานอีเธอร์เน็ตที่ความเร็ว 10 Mbps ซึ่งเป็นพื้นฐานของ 802.3
ข้อแตกต่างที่สำคัญคือ มาตรฐาน IEEE 802.3 ได้กำหนดไว้ สำหรับการสื่อสารแบบ CSMA/CD ทำงานที่ความเร็ว 1 ถึง 10 Mbps บนสายสื่อสารชนิดต่างๆ เช่น กำหนดค่าตัวแปรไว้สำหรับสื่อสารที่ความเร็ว 10 Mbps บนสายโคแอกซ์ (Coaxial ) ขนาด 50 โอ์ห์มเท่านั้น ค่าตัวแปรสำหรับตัวเลือกอื่นๆ ได้รับการกำหนดเพิ่มเติมในภายหลัง

IEEE 802.3 Ethernet
สำหรับมาตรฐาน 802.3 จะอธิบายถึง LAN ทั้งหมดที่ใช้หลักการของ CSMA/CD (Carrier Sense Multiple Access with Collision Detection) ที่มีอัตราการส่งข้อมูลตั้งแต่ 1 Mbps ถึง 100 Mbps และใช้สายส่งชนิดต่างๆ นอกจากนี้มาตรฐาน IEEE 802.3 และอีเทอร์เน็ตยังมีบางส่วนของส่วนหัวของข้อมูล (Header) แตกต่างกันบ้าง (ฟิลด์ความยาวของ IEEE 802.3 ถูกใช้บ่งบอกชนิดของ Packet ในมาตรฐานอีเทอร์เน็ต)
ดังนั้นจะเห็นได้ว่ามาตรฐาน IEEE 802.3 จะอธิบายถึง LAN ที่ใช้วิธีส่งข้อมูลแบบ CSMA/CD ส่วนอีเทอร์เน็ตนั้นจะหมายถึงผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งของแลนแบบ IEEE 802.3
LAN แบบนี้ส่งข้อมูลโดยใช้หลักการคล้ายๆกับการสนทนาระหว่างบุคคลหลายคน หากใครต้องการพูดก็สามารถพูดออกมาได้ในจังหวะที่ไม่มีคนอื่นพูด(เงียบ) แต่ก็อาจเป็นไปได้ที่บุคคล 2 คนจะพูดออกมาพร้อมๆกัน ทำให้เกิดการชนกันของเสียงพูด เมื่อเป็นเช่นนั้นทั้งสองคนจะต้องหยุดพูดทันที แล้วรอจังหวะที่จะพูดใหม่อีกครั้ง ซึ่งหากใครพูดก่อนก็จะสามารถพูดได้ และบุคคลอื่นๆจะต้องฟังอย่างเดียว
วิธีการรับส่งข้อมูลของแลน IEEE 802.3 ซึ่งเป็นแบบ CSMA/CD ก็ทำงานในลักษณะเดียวกัน คือ โหนดใดที่ต้องการส่งข้อมูลลงในสื่อกลางการส่งข้อมูล จะตรวจสอบดูสัญญาณในสื่อกลาง ถ้าหากสื่อกลางในการส่งข้อมูลว่างก็จะทำการส่งข้อมูลได้ทันที แต่หากโหนดตั้งแต่ 2 โหนดขึ้นไปส่งข้อมูลลงไปในสื่อกลางพร้อมๆกัน สัญญาณข้อมูลจะเกิดการชนกันขึ้น ทุกๆสถานีจะต้องหยุดการส่งข้อมูลแล้วรอเวลา ซึ่งช่วงเวลาของการรอแต่ละครั้งจะทำการสุ่มขึ้นมา (Random Time) หลังจากหมดเวลารอแล้วก็จะทำการตรวจสอบสัญญาณในสื่อกลางเพื่อส่งข้อมูลลงไปใหม่อีก
เมื่อเกิดการชนกันของสัญญาณข้อมูลแล้ว เวลาจะถูกแบ่งออกเป็นช่องๆ (slots) แต่ละช่องมีช่วงเวลา 51.2 ไมโครวินาที (นั่นคือเวลาสถานีที่ส่งข้อมูลรู้ว่าเกิดการชนกันของข้อมูลหรือไม่ สำหรับความยาวของแลน 2,500 เมตร อัตราการส่งข้อมูล 10 Mbps) หลังจากการชนกันครั้งแรก แต่ละสถานีจะสร้างตัวเลขสุ่ม (Random) ที่มีค่า 0 หรือ 1 (เลขสุ่ม 2^1 ค่า)
สถานีที่ได้ค่า 0 จะส่งข้อมูลออกไปในช่องเวลา 0 และสถานีที่ได้ค่า 1 จะส่งข้อมูลในช่องเวลาที่ 1 หากสองสถานีได้ค่าเลขสุ่มเดียวกันและส่งข้อมูลภายในช่องเวลาเดียวกัน จะเกิดการชนกันอีกครั้ง
หลังจากการชนกันครั้งที่ 2 แต่ละสถานีจะสร้างตัวเลขสุ่มที่มีค่า 0,1,2หรือ 3 (นั่นคือเลขสุ่ม 2^2 ค่า) แล้วส่งข้อมูลภายในช่องเวลาของตนเอง หากชนกันอีกก็จะสร้างเลขสุ่มจำนวน 2^3 ค่า กล่าวคือหลังจากการชนกัน i ครั้ง แต่ละสถานีก็จะมีการสร้างเลขสุ่มตั้งแต่ค่า 0 ถึง 2^i-1 ค่า และสถานีก็จะส่งข้อมูลภายในช่องเวลาของตนเอง กระบวนการในการแก้ไขการชนกันของข้อมูลแบบนี้เรียกว่า Binary Exponential Back off ซึ่งจะเห็นได้ว่ากระบวนการนี้ทำให้โอกาสในการที่จะเกิดการชนกันของข้อมูลมีน้อยลง เมื่อจำนวนครั้งของการชนกันของข้อมูลมากขึ้น

หลักการพื้นฐานและความเป็นมา

IEEE แบ่ง IEEE 802.3 เป็น 2 กลุ่มคือ baseband และ broadband พิจารณาจากลักษณะของสัญญาณไฟฟ้าที่ส่งลงไปในสาย
Baseband ใช้สัญญาณแบบ digital สำหรับสื่อสารในสาย มี 5 มาตรฐานคือ 10Base5, 10Base2, 10Base-T, 1Base5 และ 100Base-T
Broadband ใช้สัญญาณแบบ analog สำหรับสื่อสารในสาย มีมาตรฐานเดียวคือ 10Broad36

คำอธิบาย: https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjENpdyaYn0CGqCEqf4ajqkwfUZwXkM6hHICJy3XhinjVO_M5zAoZLHJCVnwRStSm6M4GtgcHy7-VMcp8MNyTXu0sLOr3esbyWseUlaDfehyphenhyphen59lB3-53KA614vp1ai1iUloFi6g-OPG6Dc9/s400/1.PNG


IEEE 802.3 Ethernet
   
คำอธิบาย: https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEihpAPRwWV2QgitIMm5IwU6FvQROinw5FpqLIZyqHGlbPQhm1agDVv7zEh1UowiPEm_uj2aWzWidS03nhM0d4cXVhjytNyZWTf9yzFGXoG0hohfPGH1yjb7xxO-Nmy0Qsl1VWwGYNkVKy5F/s400/0.PNG


การทำงานและหน้าที่ของ MAC

คำอธิบาย: https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjed4RHjaeS3MhdksFkTtwS0R39B5eqYlrhQsL6MR4zgI86Du4ndeRk1sSsX8f6wkVStFV_PeGqfs8BeJ1Mf3V-Nc-pF7u-NBBWjQBZhLfQeuhprgbXtgnpnvbef5-EhSBLk9ksUMFW4TvK/s400/2.PNG

ส่วนประกอบของเฟรมข้อมูลของ Ethernet

Preamble มีความยาว 7 ไบต์ แต่ละไบต์จะมีข้อมูลเหมือนกันหมดคือ “10101010” มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้รับได้มีโอกาสรู้และเทียบสัญญาณนาฬิกาของตนเองกับผู้ส่งให้ตรงกัน
Start of frame มีความยาว 1 ไบต์ (10101011) สำหรับบอกเครื่องรับ ระบุจุดเริ่มต้นของเฟรม โดยไบต์ถัดจากนี้เป็นต้นไป คือ ข้อมูล

การทำงานและหน้าที่ของ MAC
Source address and Destination address คือ ที่อยู่ของผู้ส่ง และที่อยู่ของผู้รับ มีขนาดอย่างละ 6 ไบต์ IEEE มีหน้าที่ในการกำหนดที่อยู่สากล (global address) ซึ่งมีขอบเขตการใช้งานได้ทั่วโลก
Length มีความยาว 2 ไบต์ ใช้บอกความยาวของข้อมูลมูลจริงที่ถูกใส่มาในเฟรมนั้น มีค่าต่ำสุด เป็น 0 ไบต์ และสูงสุดไม่เกิน 1,500 ไบต์ มาตรฐาน 802.3 กำหนดให้ทุกเฟรมจะต้องมีความยาวไม่น้อยกว่า 64 ไบต์ หากข้อมูลจริงมีความยาวไม่ถึง 64 ไบต์ จะใช้ส่วน pad เพิ่มเติม
Pad มีไว้สำหรับเติมข้อมูลหลอก (dummy) เพื่อให้มีขนาดของเฟรมไม่น้อยกว่า 64 ไบต์
Checksum มีขนาด 4 ไบต์ มีไว้สำหรับการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่รับได้ ถ้าเกิดการผิดพลาดขึ้นในระหว่างการนำส่งข้อมูลในส่วนนี้จะช่วยให้ตรวจพบความผิดพลาดนี้ได้ เช่น CRC (Cyclic redundancy)

การเชื่อมต่อและชนิดของเครือข่าย Ethernet
คำว่า “Ethernet” นั้นอันที่จริงมีความหมายเกี่ยวข้องโดยตรงกับสายสื่อสาร จากรูป แสดงคุณสมบัติของสายสื่อสาร 4 ชนิด ที่นิยมใช้กันทั่วไป ประเภทของสายสื่อสารที่ใช้กันทั่วไปสำหรับมาตรฐาน 802.3

คำอธิบาย: https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEio_KkzcjGIWUeWejHWagezFLz660MjkvdJY-TJpQVvjwycHjj7NI8_ipv3DQqDBe-rZSZNM8R7WYUxURuSYRFb43KaDsfa-h9DaXGTOeod5tYXYwftuLXTVUQDhMy5RGTJBvP01ZhSVbKY/s400/3.PNG

การเชื่อมต่อและชนิดของเครือข่าย Ethernet
การแบ่งเซกเมนต์ของ Ethernet

คำอธิบาย: https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiwHQN8xo5xfVIePlQ6AmckqcEj20qW7EzSn7DQuhDqbR0fpgj_zJ3JG_uvBVEJUBWABhHlP1H3yVLcrsm_fAQhjC7N4cjrlmS8NYassE_XFvUCYHX2gv7vCiId-sEdrGU8ocx50DszDdVq/s400/4.PNG

ระยะต่างๆ ของการติดตั้งเครือข่าย Ethernet จะขึ้นอยู่กับมาตรฐาน โดยประกอบด้วย
                ระยะห่างระหว่างเครื่อง
                ความยาวเซกเมนต์
                ความยาวสูงสุด
                จำนวนเครื่องสูงสุด

การเชื่อมต่อและชนิดของเครือข่าย Ethernet

<!-          10Base5: Thick Ethernet

คำอธิบาย: https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj1iWJncb-u6cNexmdAQSUbXM9VFW5u-eEBWCUMS9nEQ6Y2piAs6TwPe99eCbXT1VRKx0U-ej_8o8_Mop216t_yA19LtejQnD-I13_IDxh4eJEVxyttMwf6_ul0a2SUmaUY6nhJwZZ4AXPo/s400/5.PNG

10Base5: Thick Ethernet
<!         แต่ละเซกเมนต์ยาวไม่เกิน 500 เมตร
<          ความยาวรวมทุกเซกเมนต์ไม่เกิน 2500 เมตร
            มีจำนวนเครื่องสูงสด 200 เครื่องในแต่ละเซกเมนต์ และทั้งหมดไม่เกิน 1000 เครื่อง
<!          ใช้สาย RG-8 เป็นสายหลักของเซกเมนต์
             การต่อไปยังเครื่องใช้ Transceiver ต่อออกจากสายหลัก หรือเรียกอุปกรณ์เหล่านี้ว่า Medium Attachment Unit (MAU)
             ใช้สาย AUI ต่อจาก MAU ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์

10Base2: Thin Ethernet

คำอธิบาย: https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiIX-vjyejYvg3u2IAVJGhHRMMBgofhZUeyqaUh6AKFYCAbPdaih2Vu39jUV3MdwtUxZ9QTtqN7dROi5BFxb1kUoq6H_mH04acNBvGE1cUPAl3RoTDpuPwjORnb3qIUbPRJc7mQWG-EcfMe/s400/6.PNG

10Base2: Thin Ethernet
              แต่ละเซกเมนต์ยาวไม่เกิน 185 เมตร
              ใช้สาย RG-58 เป็นสายหลักของเซกเมนต์
               การต่อไปยังเครื่องใช้ BNC-T connector และต่อตรงเข้ากับแผ่นวงจรเครือข่ายของเครื่องคอมพิวเตอร์

10Base-T: Twisted-Pair Ethernet

คำอธิบาย: https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjSNurQWhE1SDRf4ytAcsox2dS8K3KO_PFbQxgtvOBo2sn2O026kFcq3TarsFNAnSreOdHM0OmmV3hi0Y5h10kIp_1eEsqy_aXlG49jSuz0zjwAdt0aidYefDK9VeMyaMdJvTbDcrSADtyN/s400/7.PNG

10Base-T: Twisted-Pair Ethernet
                สายแต่ละเส้นที่ต่อออกจากอุปกรณ์กระจายสัญญาณยาวไม่เกิน 100 เมตร
                ใช้สาย UTP เป็นสายหลักของเซกเมนต์
                เข้าหัวสายด้วยหัวต่อ RJ-45

1Base5: StarLAN

คำอธิบาย: https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg9APys0hLWZ1UTYrMqggIOFAAxyaBM3_8dGKYcFXYUKzVYorcNxxmYIqhcz35b_QDSuC8brl9yW47JBKyn72J93J1ACTi9ww1u1J_eqLv9EDyIfZ5Vc-fySLIFeoXg7fipe1S5o_8FSN5w/s400/8.PNG

<!-           เป็นผลิตภัณฑ์ของ AT&T
              มีความเร็ว 1 Mbps
              เพิ่มขนาดของเครือข่ายแบบ Daisy chain
<!--         ใช้สาย UTP

Fast Ethernet (IEEE 802.3u)
<!-           เนื่องจากในปัจจุบันมัลติมีเดียได้มีการใช้งานกันมาก จึงมีความต้องการเครือข่ายความเร็วสูงในการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน กลุ่มคณะทำงานของ IEEE จึงตัดสินใจที่จะปรับปรุงมาตรฐาน 802.3 ให้สามารถ รับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงขึ้น ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานที่เรียกว่า 802.3ซึ่งเรียกกันโดยทั่วไปว่า Fast Ethernet
              อีเทอร์เน็ตรูปแบบหนึ่งที่มีความเร็วสูงถึง 100 Mbps รูปแบบของเฟรมข้อมูล หรือการควบคุมการชนกันของข้อมูลไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากอีเทอร์เน็ตปกติ เพียงแต่ลดเวลาการส่งข้อมูลของแต่ละบิตจาก 100 นาโนวินาที เป็น 10 นาโนวินาที จึงทำให้อัตราการส่งข้อมูลสูงขึ้น 10 เท่าจากเดิม

Fast Ethernet (IEEE 802.3u)
<!           เป็น Ethernet ความเร็ว 100 Mbps
              มีขนาดเฟรมน้อยที่สุด 72 Bytes
<!-           ใช้ Topology แบบ Star
<!-                   มี 3 มาตรฐานย่อย คือ
                    100Base-TX ใช้สาย UTP แบบ CAT-5 หรือ STP จำนวน 2 คู่
                    100Base- X ใช้สายใยแก้วนำแสง มีระยะทางไม่เกิน 2000 เมตร
                  - 100Base-T4 ใช้สาย UTP แบบ CAT-3 จำนวน 4 คู่
Gigabit Ethernet (IEEE 802.3g)
               เป็น Ethernet ความเร็ว 1000 Mbps
               ใช้ Topology แบบ Star
                    มี 4 มาตรฐานย่อย คือ
                       1000Base-T ใช้สาย UTP มีระยะสาย 25 เมตร
                       1000Base-CX ใช้สาย STP มีระยะสาย 25 เมตร
                       1000Base-SX สัญญาณแสงแบบ Short-wave Laser มีระยะสาย 550 เมตร ใช้สายใยแก้วนำแสงแบบ multimode
                       1000Base-LX สัญญาณแสงแบบ Long-wave Laser มีระยะสาย 550 เมตร สำหรับสายใยแก้วนำแสงแบบ multimode และระยะสาย 5000 เมตร สำหรับสายใยแก้วนำแสงแบบ single mode



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น